ฝ้า (Melasma) สาเหตุและวิธีรักษา

ฝ้า คือ อะไร?

          มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลบนผิวหนังที่เกิดเป็นจุดๆ และมักขึ้นเป็นกระจุกรวมกันบนผิวหนัง หรือ เป็นปื้นๆสีน้ำตาล ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือปวดบนผิว แต่อาจสร้างความกังวลใจกับเราอย่างมากเลยค่ะ โดยส่วนมากจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

 

          บริเวณที่เป็นฝ้า มักขึ้นบริเวณจุดรับแสงของใบหน้า เป็นส่วนใหญ่ เช่น

    • โหนกแก้ม
    • หน้าผาก
    • จมูก
    • เหนือริมปาก

          ผิวกาย ก็สามารถเกิด ได้ เช่น ท่อนแขน ขา คอ 

 

สาเหตุการเกิดฝ้า

          ยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่า อะไรเป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้าที่แท้จริง แต่สิ่งที่เราบอกได้คือ การถูกปัจจัยไปกระตุ้นทำให้เกิดฝ้าที่เข้มขึ้น เแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน

          ปัจจัยภายนอก 

  • แสงแดด
  • มลภาวะ 
  • ผิวถูกทำร้าย เกิดการอักเสบ เช่น การขัดหรือสครับหน้า ลอกเซลล์ผิวรุนแรง ใช้เครื่องขัดหน้า

          ปัจจัยภายใน

  • ฮอร์โมน เช่น ภาวะการตั้งครรภ์ การกินยาคุมกำเนิด
  • กรรมพันธุ์ มีโอกาสทำให้เกิดฝ้าได้ถึง 30%
  • การกินยารักษาโรคบางชนิด
  • การได้รับยาเคมีบางชนิด

 

ลักษณะของฝ้า

ฝ้าตื้น

         มีลักษณะเป็นปื้นเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้ม ปรากฏอยู่ผิวชั้นบน จึงเห็นขอบเขตของฝ้า ชัดเจน ฝ้าชนิดนี้ พบว่า สร้างความกังวลใจได้มากที่สุด แต่ก็มีข้อดี คือ รักษาง่าย จางหายได้เร็วกว่าฝ้าอื่นๆ 

          แนวทางรักษา สามารถใช้ ยารักษาฝ้า ร่วมกับ เวชสำอาง หรือ สกินแคร์ก็คาดหวังผลได้

ฝ้าลึก

          มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนกว่าฝ้าตื้น เพราะเกิดอยู่ในชั้นผิวที่ลึกลงไป ใช้เวลารักษานานกว่าฝ้าตื้น 

          แนวทางรักษา ใช้ยารักษาฝ้า ร่วมกับเวชสำอาง หรือ สกินแคร์  ในบางคนอาจต้องทำหัตถการโดยแพทย์ควบคู่ไปด้วย จึงเห็นผลชัดเจน

ฝ้าผสม

           เป็นลักษณะฝ้าที่พบมากที่สุดในคนที่มีฝ้าสะสมมานาน เกิดจากฝ้าตื้นและฝ้าลึก รวมอยู่ใกล้เคียงกันในบริเวณที่เป็นฝ้า ทำให้การรักษาใช้เวลานาน

          แนวทางรักษา ใช้ยารักษาฝ้า ร่วมกับเวชสำอาง หรือสกินแคร์ และต้องทำหัตถการโดยแพทย์ร่วมด้วย

ฝ้าเลือด

          รักษานานที่สุด หรือยากกว่าใน 3 แบบแรก เป็นลักษณะฝ้าที่มีการแตกของเส้นเลือดฝอยเล็กๆเป็นบริเวณกว้างกลายเป็นปื้นที่มีสีแดง และฝ้าชนิดนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายที่สุด หากปล่อยไว้นานจะพบว่า มีฝ้าชนิดอื่นๆร่วมด้วย ทำให้การรักษาด้วย เวชสำอาง หรือ สกินแคร์ต่างๆ เริ่มไม่ได้ผลหรือเห็นผลน้อยมาก 

          แนวทางรักษา ใช้ยารักษา ร่วมกับทำหัตถการอย่างสม่ำเสมอ จึงจะดีขึ้น

ฝ้าถาวร

          เป็นลักษณะฝ้าปื้นหนาๆ สีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลไหม้ (ออกดำๆ) อาการมักพบในผู้ที่เคยใช้ครีมมีสารรุนแรงสะสมมานาน หรือ ใช้ยาทาฝ้าที่มีความเข้มข้นสูง โดยซื้อครีมมาใช้เอง ไม่ได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือไม่ได้พบแพทย์อย่างต่อเนื่อง เช่น สารปรอท สารไฮโดรควีโนน ซึ่ง ไฮโดรควีโนนเป็นยาที่ต้องควบคุมโดยแพทย์เท่านั้น

          แนวทางรักษา ยังไม่พบวิธีรักษาที่เห็นผลชัดเจนในผู้ที่เป็นฝ้าถาวร แต่สามารถทำให้อาการดีขึ้นได้โดยการทำหัตถการและต้องพบแพทย์ต่อเนื่องเป็นวิธีรักษาที่ดีที่สุดค่ะ

 

ปัจจุบันเราพบว่า
มีการเรียก ฝ้า ตามลักษณะอาการต่างๆ ดังนี้

 

          ฝ้าฮอร์โมน

          จากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนซึ่งส่งผลให้ ผู้มีภาวะการตั้งครรภ์ (ก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังตั้งครรภ์)  นอกจากนี้ การได้รับยาคุมกำเนิด  และการบำบัดด้วยฮอร์โมนสามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ รวมถึงความเครียดและโรคประจำตัวเป็นสาเหตุของฝ้าได้เช่นกัน

          ฝ้าแดด

          แสงแดด เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงได้ยาก และพบมากกับคนที่มีปัญหาฝ้าแดด เพราะรังสีอัลตราไวโอเลต (รังสียูวี) ที่มีทั้ง UVA UVB รวมถึง แสงสีฟ้า ส่งผลให้เซลล์ที่ควบคุมเม็ดสี (เมลาโนไซต์) ผลิตเม็ดสีผิวมากขึ้นกว่าปกติ

          ฝ้าเครื่องสำอาง

          เป็นฝ้าจากการใช้เครื่องสำอางหรือครีมที่มีส่วนผสมทางเคมีที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว หรือ ที่หมดอายุ เสื่อมสภาพแล้ว ใช้กับผิวหน้าสะสมเป็นเวลานานจนเกิดเป็นฝ้าเข้มขึ้น เช่น ครีมรองพื้น แป้งบัฟที่ผสมสารให้หน้าขาว เมคอัพ เครื่องสำอางที่ใช้กับผิวหน้า

          ฝ้าติดสาร

          ฝ้าที่เกิดจากการใช้ครีมมีสารรุนแรง เช่น สารปรอท ไฮโดรควีโนน สเตียรอยด์ หรือ สารผลัดเซลล์ผิวลอกผิวหน้ารุนแรง จนผิวเกิดการอักเสบและชั้นผิวบางลงจนเซลล์ผิวเกิดรูรั่ว ส่งผลให้ เม็ดสีผิวทะลุผ่านขึ้นสู่ผิวชั้นบนได้มากกว่าปกติ 
 

แนวทางรักษาฝ้า

  • ยารักษา มีทั้งในรูปแบบยากิน และยาทาฝ้า จะเห็นผลได้เร็ว ดังนั้น จึงควรอยู่ในการควบคุมและดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะอาจมีผลข้างเคียงได้ 

  • เวชสำอาง มีส่วนผสมที่เทียบเคียงหรือออกฤทธิ์ได้คล้ายกับยารักษา แต่ไม่มีส่วนผสมทางยา และมักมีส่วนผสมหลายตัว จึงลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง และสามารถหาซื้อเองได้ แต่เวชสำอางบางชนิดไม่สามารถใช้ติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน โปรดศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้เสมอ ข้อดีคือ อ่อนโยนกว่ายารักษา แต่ใช้เวลานานกว่า

  • สกินแคร์ มีส่วนผสมที่หลากหลายกว่าเวชสำอาง เช่น ไวท์เทนนิ่ง ไบร์ทเทนนิ่ง การผลัดเซลล์ผิว เป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้สกินแคร์หลายตัวจึงจะควบคุมฝ้าอย่างได้ผล ข้อดี คือ สามารถใช้ต่อเนื่องได้ทุกวัน  แต่ก็มีข้อเสียคือ หากมีฝ้า เข้มจะใช้เวลารักษานานกว่า การใช้ยารักษาหรือเวชสำอาง และอาจเห็นผลได้น้อยกับผู้มีฝ้าหนาสะสม

  • หัตถการทางการแพทย์ เช่น ทรีตเม้นท์, เลเซอร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตัดสินใจเลือกแนวทางรักษาเฉพาะบุคคลตามอาการเท่านั้น เพื่อการรักษาที่เห็นผล ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและพบแพทย์ตามนัดเป็นประจำ

          การรักษาให้ได้ผล ต้องจัดการกลไกทุกกระบวนการเกิดฝ้าที่ต้นเหตุ นั่นก็คือ ลดการสร้างหรือผลิตเม็ดสี, ชะลอการขนส่งเม็ดสี, ลดเม็ดสีที่ปรากฏบนผิวชั้นบน, อุดรูรั่วของเซลล์ผิวและ ปรับสมดุลผิว

          ดังนั้น ต้องปกป้องผิวให้มากที่สุด ร่วมกับการรักษา เช่น ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป, สวมหมวกปีกกว้าง, สวมแว่นตา, กางร่ม, ทากันแดดซ้ำระหว่างวัน, เสริมชั้นผิวให้แข็งแรง, เมคอัพปกปิดผิว หรือเรียกว่า ปกป้องผิวให้ได้มากที่สุด และไม่ทำร้ายผิว ฝ้าจึงจะจางลงชัดเจนค่ะ

ระยะเวลารักษา

          การคาดหวังผลของการรักษาฝ้า ขึ้นอยู่กับการทาครีมรักษาต่อเนื่อง ร่วมกับพฤติกรรม ของแต่ละบุคคล เพราะหากผิวยังโดนปัจจัยกระตุ้นอยู่ การรักษาย่อมใช้เวลานานขึ้นได้ โดยเฉลี่ยแล้ว ฝ้าหากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง มักดีขึ้น เมื่อใช้ต่อเนื่องประมาณ 3-8 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ฝ้าไม่สามารถหายขาดได้ เมื่อรักษาฝ้าดีขึ้นแล้ว จึงมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายหากไม่ดูแลและปกป้องผิวให้ดีค่ะ

 

SOURCE
  • AAD, Melasma. (n.d.)., MELASMA: DIAGNOSIS AND TREATMENT, Site : aad.org/public/diseases/color-problems/melasma
  • Rajaratnam R., et al., Interventions for melasma., 2010, Site : https://www.cochranelibrary.com/cdsr/doi/10.1002/14651858.CD003583.pub2/full. and https://doi.org/10.1002/14651858.CD003583.pub2.
บทความลิขสิทธิ์ Copyright © SISTER NAN All rights reserved.